เราควรฟังอะไรจากคนรอบตัว ถอดบทเรียนจาก Forrest Gump

Last updated on ก.ค. 2, 2020

Posted on ส.ค. 24, 2019

Forrest Gump เป็นเรื่องราวของผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งชาวรัฐอลาบามา สหรัฐอเมริกา มีไอคิวเพียง 75 เท่านั้น สมมติว่าถ้าให้ความฉลาดทางสติปัญญามีผลต่อการประสบความสำเร็จในชีวิตของคนหนึ่ง น่าสนใจว่า ฟอร์เรสต์ กัมพ์ เขาประสบความสำเร็จในชีวิตหลายเรื่องได้อย่างไรด้วย IQ 75

เรื่องนี้การันตีด้วยรางวัลออสการ์ถึง 6 รางวัลเมื่อปี 1995 รางวัลที่เป็นฮีโร่เลยคือ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ทอม แฮงค์ส เขาได้ถ่ายทอดการเป็นผู้ชายที่มี IQ 75 แต่สามารถประสบความสำเร็จและดำเนินชีวิตในแต่ละช่วงได้อย่างน่าสนใจได้อย่างไร

จริง ๆ แล้ว ฟอร์เรสต์ กัมพ์ เขาไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวของเขาเอง มีตัวละครในชีวิตเยอะมาก วันนี้จึงอยากชวนมาถอดบทเรียนจาก Forrest Gump ว่าเราควรฟังอะไรจากคนรอบตัว จาก 5 ข้อนี้

1. ควรฟังคำสอนชีวิตจากคุณพ่อ คุณแม่

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ หากไม่มีคนคอยเลี้ยงตั้งแต่เกิด ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่จะเป็นคนที่เห็นคนตั้งแต่วันแรกของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เขาเป็นคนที่รักคุณตั้งแต่วันที่เขายังไม่รู้เลยว่าคุณจะให้ประโยชน์อะไรกับเขาได้ เพราะความรักที่เขามีให้คุณไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น

ดังนั้น คำสอนของคุณแม่ ฟอร์เรสต์ กัมพ์ จะเป็นคนผลิตคำคมของเรื่องเยอะมาก โดยคำหนึ่งที่คนมักจะพูดถึงกันบ่อยมากคือ

“ชีวิตมันก็ไม่ต่างอะไรจากกล่องช็อกโกแลตหรอกนะ ลูกไม่มีวันรู้หรอกว่าในกล่องจะได้ช็อกโกแลตอะไรมา”

เป็นคำสอนในวันที่ ฟอร์เรสต์ คุยกับแม่ว่า เขากลัวว่าชีวิตในวันข้างหน้าด้วยไอคิวที่น้อยนิดของเขา เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร จริง ๆ แล้วคุณแม่ของฟอร์เรสต์ เป็นคนสอนลูกดี เธอรู้ว่าลูกชายมี IQ แบบนี้ ทักษะในการเรียนรู้อาจจะไม่ซับซ้อน ดังนั้น คนอื่นอาจจะสอนลูกให้เรียนเก่ง แต่สิ่งที่เธอทำคือ สอนเรื่องของการใช้ชีวิตและใช้คำอธิบายที่เข้าใจได้ง่าย พยายามสอดแทรกให้ ฟอร์เรสต์ เห็นภาพ อย่างการสอนเรื่องความไม่แน่นอน คุณแม่ชัดเจนมากที่จะบอกความไม่แน่นอนเปรียบเทียบกับกล่องช็อกโกแลต หากบอกว่า ฟอร์เรสต์ กัมพ์ มี Mindset การมองชีวิตอย่างเรียบง่ายจากใคร นั่นคือพื้นฐานจากคุณแม่นั่นเอง

ดังนั้น เวลาคุณมีปัญหาในชีวิต คุณอยากได้คำสอนของชีวิต คุณย้อนกลับไปหาคุณพ่อคุณแม่ของคุณ คนที่รู้ว่าคุณเป็นคนอย่างไรโดยเนื้อแท้ เขาจะให้คำสอนชีวิตจากมุมมองของคนที่เห็นชีวิตคุณตั้งแต่วันแรกที่เกิด

2. ควรฟังคำด่าจากคนที่เกลียดคุณ

อะไรคือ คำด่าจากคนที่เกลียดคุณ? ในเรื่องจริง ๆ แล้ว ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ไม่มีคนที่เกลียด แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตที่เขาทำเรื่องหนึ่ง แล้วทำให้ตัวละครชื่อว่าผู้หมวดแดนไม่ชอบ เขาจึงตัดสินใจทำบางเรื่องบางอย่างให้กับผู้หมวดแดน แต่ผู้หมวดแดนไม่ต้องการที่จะเลือกเรื่องนี้ ผู้หมวดต่อว่า ฟอร์เรสต์ กระชากลงพื้นว่า

“เขาต้องมีชีวิตแบบนี้ก็เพราะแก ฉันไม่ได้เลือกชีวิตแบบนี้”

ทั้งหมดนี้ไม่มีคำสอนเลย ทั้งที่เขาเป็นเจ้านายของฟอร์เรสท์ ตอนที่ต้องไปเป็นทหารที่เวียดนาม เจ้านายคนนี้ไม่ได้สอนเลย ด่าสถานเดียว เพราะฟอร์เรสต์ทำเรื่องที่ผิดมหันต์ในความคิดของเขา

เมื่อเราเจอคนมาต่อว่า สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรกคือ ‘ฟัง’ อย่าเพิ่งเถียง เพราะคุณอาจเถียงเขาไม่ทัน เขากำลังโกรธ ให้ฟังและบอกเขาว่า เรากำลังฟังสิ่งที่เขาพูด จากนั้นถามตัวเองว่าสิ่งที่เขาต่อว่ามันจริงไหม ถ้าจริงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทบทวนว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องปรับปรุง แต่ถ้าที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องจริง เป็นโอกาสดีที่เราจะได้รู้ว่า ตัวเองสื่อสารอย่างไรถึงทำให้ปลายทางเข้าใจผิดและโกรธเราได้ขนาดนี้

สุดท้ายเป็นเรื่องของการได้ฝึกความอดทน เมื่อใดก็ตามที่เราโต้กลับ จะไม่มีอะไรที่เป็นบทเรียนกลับมาได้เลยนอกจากบาดแผลและความเจ็บปวด คุณเลือกได้ว่าเมื่อมีพายุ คุณจะวิ่งเข้าไปหรือหาที่ตั้งหลัก

ดังนั้น คุณควรฟังคำต่อว่าจากคนที่เกลียดเราด้วย เพื่อที่จะปรับปรุงตัวเราเองและฝึกความอดทนของตัวเรา

3. ควรฟังเรื่องความฝันจากเพื่อน

มีตัวละครตัวหนึ่งชื่อ บับบ้า เป็นคนที่ฟอร์เรสต์ไปเจอตอนสงครามเวียดนาม เขาเป็นคนที่ใกล้เคียงกับฟอร์เรสต์ มองโลกในแง่ปกติ ไม่คิดร้ายกับใคร วัน ๆ คิดแต่เรื่องตัวเอง ชอบเล่าเรื่องความฝันให้ฟอร์เรสต์ฟัง มีความใฝ่ฝันอยากทำอาชีพประมงจับกุ้ง สิ่งที่ฟอร์เรสต์ทำคือ ‘ฟัง’

ความฝันดีอย่างไร? ณ วันที่ฟอร์เรสต์, บับบ้า และผู้หมวดแดน อยู่ที่เวียดนามท่ามกลางสงคราม สิ่งที่ทำให้เขาผ่านแต่ละวันพร้อมตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น คือความหวัง ความฝัน หวังว่าสงครามจะจบ หวังว่าจะได้กลับไปเจอคนที่รัก หรือบับบ้าที่หวังว่าจบสงครามเขาจะทำอาชีพอะไร

การฟังความฝันจากเพื่อนนั้นดีอย่างไร? ดีตรงที่เป็นความฝันของคนในวัยใกล้เคียงกัน เราจะมองเห็นว่าฝันนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริงได้อย่างไร ต่างจากการไปนั่งฟังความฝันของเด็ก หรือถ้าไปฟังความฝันของผู้บริหารอาจจะฟังดูไกลตัว อาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกอยากจะพัฒนาตัวเองอย่างไร แต่ถ้าคุณฟังความฝันของเพื่อนบางทีคุณอาจจะมีฝันร่วมกัน และช่วยกันนำจุดแข็งของคุณทำให้ความฝันได้เป็นจริงเร็วขึ้น

เพราะฉะนั้น หมั่นฟังความฝันจากเพื่อนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและทำให้ตัวเองรู้ว่ามีเป้าหมายอย่างไร เป้าหมายที่จะเป็นจริงได้ และคุณพัฒนาตัวเองไปได้เรื่อย ๆ

4. ควรฟังเสียงของคนรัก

ฟอร์เรสต์ กัมพ์ มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวในชีวิต ชื่อเจนนี่ เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็ก ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถออกจากชีวิตของเขาได้ เพราะเขารับเจนนี่เข้ามาอยู่ในชีวิตแม้ว่าตัวของเจนนี่จะเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ต้องแยกกัน เขาจะมีเจนนี่อยู่ในใจอยู่ตลอด

ฟังเสียงของคนรักดีอย่างไร? ดีตรงที่เมื่อเรารับคนเข้ามาในชีวิต เรารับมา 2 เรื่องคือ ความสุขและความทุกข์ ณ วันที่คุณอยู่ตัวคนเดียวเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุขอาจจะเป็นแค่การเล่นดนตรี แต่เมื่อคุณมีคนที่คุณรักแล้วและเขามีความสุขในการดูหนัง คุณจะพบเรื่องที่ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง แต่คุณก็รับความทุกข์เขามาด้วย เช่น คุณไม่เคยกลัวสัตว์เลื้อยคลาน แต่คนที่คุณรักกลัว คุณก็ต้องกลัวด้วย คุณไม่เคยกลัวความสูง แต่คุณก็ต้องระวังไม่ให้เขากลัวในสิ่งที่คุณกำลังจะไปทำ

เพราะชีวิตมีทั้งด้านความสุขและทุกข์ การที่เราเรียนรู้ว่าจะประคองชีวิตไปโดยที่เลี่ยงเรื่องทุกข์และรับเรื่องสุขมาบ้าง พอมีคนที่เรารักมาด้วยกันทำให้การใช้ชีวิตของคุณชาญฉลาดขึ้น เพราะเมื่อเราคบใครเราก็เหมือนเป็นครอบครัวกับเขา เราครอบครองทั้งทุกข์และสุขเพิ่มมาด้วยกัน หมั่นฟังเสียงของคนที่คุณรัก แล้วชีวิตคุณจะมีสุขที่เยอะขึ้นและมีชีวิตที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

5. ควรฟังเสียงของตัวคุณเอง

มีฉากที่เป็นเอกลักษณ์ของฟอร์เรสต์ กัมพ์ คือฉากที่ฟอร์เรสต์ออกวิ่ง เพราะความเสียใจจากความรักจนรู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ไม่ได้ อยากจะออกไปและวิ่งไปโดยที่ตาลอยไม่มองซ้ายขวา มีคนวิ่งตามเขามามากมายโดยเขาก็ไม่รู้ จนวันที่เขาหยุดวิ่งสายตาของเขาเปลี่ยนไป เริ่มมองลง แล้วหันหลังกลับ คนที่วิ่งตามก็งงว่าทำไมถึงหยุดวิ่ง ฟอร์เรสต์ จึงตอบว่า

“ผมเหนื่อยแล้ว”

นั่นคือวันที่เขาละออกจากความเสียใจที่เกิดจากคนอื่น เขาโอบกอดความเจ็บปวดไปกับการวิ่ง จนถึงวันที่เขาได้ยินเสียงของตัวเอง เขาก็เลือกที่จะหยุดแล้วกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ

ดังนั้น หมั่นฟังเสียงของตัวเอง บางครั้งเราฟังเสียของคนอื่น เสพโซเชียล ได้ยินคำบ่น ได้เห็นข่าว เห็นดราม่ามากมาย เราฟังคนอื่นเยอะมาก เรารู้เรื่องคนอื่นเยอะจริง ๆ แต่เรารู้เรื่องตัวเราเองมากน้อยแค่ไหน คุณควรฟังเสียงของตัวเองเรื่อย ๆ แล้วตอบตัวเองให้ได้ว่า ณ ตอนนี้ต้องการอะไร จะเป็นการตรวจสอบตัวคุณด้วยว่า ความสุขของคุณอยู่ที่ใดและคุณจะเติมเต็มได้อย่างไร

ถอดความจาก: The Organice Podcast โดยคุณโจ้ ฉวีวรรณ คงโชคสมัย
ฟัง EP. นี้แบบเต็ม ๆ ได้ที่: SOUNDCLOUD, Spotify, PodBean

ติดตาม Creative Talk ได้อีกหลายช่องทาง

บทความอื่นที่คุณอาจสนใจ

trending trending sports recipe

Share on

Tags