การเดินทางที่ตกตะกอนแรงบันดาลใจสู่การสร้างผลงานของ

Last updated on มิ.ย. 24, 2020

Posted on มิ.ย. 22, 2020

หากพูดถึงชื่อ วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh) คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก ศิลปินที่สร้างผลงานจนกลายเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนในโลก แวนโก๊ะเป็นศิลปินชาวดัตช์ ตลอดชีวิตการทำงานศิลปะของเขาไม่ได้สดใสเหมือนสีที่เจ้าตัวใช้ในภาพเขียน แต่ชีวิตเขากลับตรงกันข้าม โดยกว่าจะเป็นแวนโก๊ะที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ เราอยากชวนคุณมาดูกันว่า งานของแวนโก๊ะได้รับอิทธิพลและแรงบันดาลใจจากที่ใดบ้าง จนกลายมาเป็นรูปแบบผลงานที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน

ภาพวาด Still life with cabbage and clogs
Still life with cabbage and clogs, 1881

ผลงานของแวนโก๊ะในช่วงแรก (ค.ศ. 1881-1886) เขามักใช้สีโทนเทา-น้ำเงิน จากอิทธิพลที่ได้ร่ำเรียนกับ Anton Mauve ที่สถาบัน The Hague ศิลปินชาวดัตช์ส่วนใหญ่นิยมใช้โทนสีแบบนี้ในการทำงาน ณ ช่วงเวลานั้น รวมถึงอิทธิพลที่เขาได้รับจากคนรอบตัว​ ส่งผลให้งานของเขามีสีหม่นตามไปด้วย

ช่วงแรกแวนโก๊ะมักจะเขียนภาพหุ่นนิ่ง (Still life) และวิถีชีวิตชาวบ้าน ภายหลังแวนโก๊ะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีสีจากตำราที่เขาหาซื้อมา แต่ว่าเขาไม่รู้วิธีใช้ทฤษฎีเหล่านั้นเนื่องจากภาพในหนังสือเป็นภาพขาวดำ เขาพยายามใช้สีเพิ่มเติมจากโทนสีเดิม แต่ถึงอย่างนั้นงานของเขาในช่วงแรกก็ยังไม่สดใส และเป็นโทนสีแบบโคลนที่ยังเป็นเอกลักษณ์ของชาวดัตช์อยู่เช่นเดิม

ศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนารูปแบบงานของแวนโก๊ะที่สำคัญอีกคนคือ มิลเลต์ (Jean-François Millet) มิลเลต์เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศสที่โด่งดัง ในตอนนั้นแวนโก๊ะ อายุ 28 ก็เพิ่งเริ่มเป็นศิลปิน เขาศึกษางานที่เล่าถึงวิถีชีวิตชาวนาในชนบทที่เรียบง่ายของมิลเลต์  และรู้จักตัวตนของตัวเองผ่านผลงานมิลเลต์ เขาเริ่มวาดภาพชาวนาเช่นเดียวกัน ปี ค.ศ. 1885 เขาวาดภาพ The Potato Eaters เพื่อต้องการแสดงออกว่าตัวเองเป็นจิตรกรชาวนาเหมือนกัน และสื่อว่าการเป็นชาวนานั้นลำบากเพียงใด แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิจารณ์และคนทั่วไปอย่างหนักว่าภาพนั้นมืดจนเกินไปและสัดส่วนไม่ถูกต้อง

ภาพวาด The Potato Eaters, 1885
The Potato Eaters, 1885

จนกระทั่งเขาย้ายไปอยู่ปารีส ดูงานของศิลปิน Eugène Delacroix ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ทำให้เขาหลงใหลในศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ที่มีลักษณะพิเศษในเรื่องการใช้จุดและสีสัน โดยศิลปะนี้เองทำให้เขาเข้าใจและรู้จักวิธีใช้สี ตั้งแต่นั้นงานของแวนโก๊ะก็เริ่มมีสีสันมากขึ้น โดยในปีค.ศ. 1886 ผลงานเขาเริ่มปรากฏแบบ Landscapes เมืองปารีสเองก็กลายเป็นแรงบันดาลใจและศิลปะแบบใหม่ ทั้งนี้แวนโก๊ะยังเริ่มใช้สีสดใสพร้อมเซ็นต์ชื่อลงบนภาพด้วยความมั่นใจ

ภาพวาด Bridge in the Rain, 1887
Bridge in the Rain, 1887

ต่อมาศิลปะแบบเจปองนิสม์ (Japonism) มีการเผยแพร่อิทธิพลเข้ามาทางตะวันตก มีศิลปินหลายคนที่ศึกษางานลักษณะนี้ ในตอนนั้นเองแวนโก๊ะเป็นหนึ่งในศิลปินที่สนใจในความเรียบง่ายอันเป็นเสน่ห์ของศิลปะเจปองนิสม์ เขามองว่า ศิลปะนี้เป็นสิ่งใหม่และต้องการเรียนรู้ เขาจึงซื้อชุดสำหรับการทำภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่นมาเพื่อทดลองสร้างงาน

ความแปลกใหม่นี้สร้างความหลงใหลให้กับเขา ในช่วงปีค.ศ. 1887 เป็นช่วงที่แวนโก๊ะสร้างผลงานจากภาพพิมพ์ และได้รับอิทธิพลจาก ฮิโรชิเกะ ศิลปินชาวญี่ปุ่น เขาผสมผสานสีที่เต็มไปด้วยความสดใสหนักแน่นในแบบตัวเอง ทำให้ผลงานมีความพิเศษแปลกใหม่ และเขายังได้รับอิทธิพลบางส่วนจาก Émile Bernard ผู้พัฒนาแนวคิดใหม่เกี่ยวกับทิศทางของศิลปะสมัยใหม่ ที่นำภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นมาใช้ โดยผสมผสานระหว่างความลึกและเรียบแบนและการสร้างพื้นผิวแบบใหม่ ๆ รวมถึงการตัดเส้น ผลงานที่โด่งดังอย่าง The Bedroom,1888 และ Almon Blossom,1890 เองก็ได้อิทธิพลจากศิลปะเจปองนิสม์เช่นกัน จากการศึกษาของเจปองนิสม์ของเขา หลังจากนั้น ธรรมชาติก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของงานแวนโก๊ะตลอดชีวิตเป็นต้นมา 

ภาพวาด The Bedroom, 1888
The Bedroom, 1888

“All my work is based to some extent on Japanese art”

Vincent to his brother Theo from Arles, 15 July 1888

ภาพวาด The Sower, 1888
The Sower, 1888

             หลังจากแวนโก๊ะย้ายมาอยู่ที่อาร์เลส์ (Arles) หมู่บ้านทางตอนใต้ของฝรั่งเศส สภาพแวดล้อมสงบสุขในชนบททำให้เขาหวนนึกถึงมิลเลต์อีกครั้ง แวนโก๊ะเริ่มวาดภาพวิถีชีวิตชนบท ธรรมชาติ  แต่ความเป็นมิลเลต์นั้นได้ลดน้อยลงไปจากงานของเขา หลังเขาค้นพบแนวทางของตัวเอง เป็นวิถีชีวิตชนบทในแบบ “แวนโก๊ะ”

ในฤดูใบไม้ร่วงปีค.ศ. 1888 แวนโก๊ะเขียนภาพ The Sower จากความทึ่งในการหว่านเมล็ด เขามองว่าการหว่านมันทำให้เกิดเป็นชีวิตใหม่ขึ้น ตอนนั้นเองเขาได้เรียนรู้จากงานของตัวเองว่าสีเหลืองและสีม่วงที่ตัดกันในภาพจนเกิดพื้นที่ขนาดใหญ่ เป็นผลจากอิทธิพลของเจปองนิสม์และสีเหลืองกลายมาเป็นสีที่โปรดปรานที่เเวนโก๊ะมักใช้ในงานบ่อยๆ​ จนเป็นเอกลักษณ์ในงานศิลปะของเขา มิลเลต์จึงถือเป็นศิลปินคนสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจของแวนโก๊ะที่สร้างสรรค์ผลงานเกี่ยวกับรูปแบบวิถีชีวิตชาวนาและธรรมชาติ เพื่อนำเสนอสู่สาธารณะชน เขาใช้สีสันที่สดใสหว่านมันลงไป จนเกิดเป็นงานที่น่าทึ่งได้ในแบบของตัวเอง

Jo Van Gogh

ภายหลังแวนโก๊ะและน้องชายของเขาเสียชีวิต มรดกที่เป็นชิ้นงานศิลปะทั้งหมดก็ตกสู่มือของวินเซนต์ โจ ภรรยาของธีโอและลูกชาย เธอย้ายจากปารีสกลับไปเนเธอร์แลนด์ เเละเปิดเกสต์เฮาท์ทำให้เธอพบกับนักเขียนและศิลปินมากมายที่เข้าพักและเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอนำงานของแวนโก๊ะมาจัดนิทรรศการเพื่อขายออกไป และทำยอดขายเกือบ 200 ชิ้น ทำให้งานของแวนโก๊ะออกสู่สาธารณะชนและผู้คนจำนวนมากได้เห็นงานเขาเพิ่มมากขึ้น

ในปี ค.ศ. 1905 เธอจัดนิทรรศการแสดงงานแวนโก๊ะที่ใหญ่ที่สุด ในหอศิลป์ Stedelijk Museum อัมสเตอร์ดัม ผลงานที่จัดแสดง มากกว่า 480 ชิ้น หลังนิทรรศการนี้งานของแวนโก๊ะก็ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก ทำให้ผลงานมีราคาสูงขึ้นในเวลาต่อมา ก่อนเธอเสียชีวิตเธอตัดสินใจขายผลงาน The Sunflower ที่เธอรักที่สุดให้กับหอศิลป์แห่งชาติลอนดอน โดยเธอยอมเสียสละที่จะครอบครองผลงานชิ้นนี้ เพื่อให้ผลงานของแวนโก๊ะเป็นที่รู้จักสู่สาธารณะชนมากยิ่งขึ้น และผลงานนี้เองก็กลายเป็นผลงานที่โดดเด่นไม่ว่าใครก็จดจำแวนโก๊ะจากภาพดอกทานตะวันสีเหลืองนี้ ต่อมาหลังจากที่เธอเสียชีวิตลูกชายเธอ ถ่ายโอนงานศิลปะทั้งหมดให้กับมูลนิธิและเป็นหนึ่งในผู้ที่ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะขึ้นมา

ระหว่างทางการค้นหาจุดเด่นของตัวเอง แวนโก๊ะซ่อนเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับศิลปิน อิทธิพลทางศิลปะเอาไว้ในผลงานมากมายของเขา​ ภาพที่ถูกถ่ายทอดออกมามีเรื่องราวในตัวของมัน ความเชื่อ อิทธิพลและแรงบันดาลใจ ระบายผ่านฝีแปรงและสีสันสดใสกลายเป็น “แวนโก๊ะ”ผู้โด่งดังไปทั่วโลกและถูกพูดถึงนานนับศตวรรษ

หากคุณเป็นผู้ที่หลงใหลชื่นชมงานของวินเซนต์ แวนโก๊ะ มีหนึ่งกับ​นิทรรศการเกี่ยวกับแวนโก๊ะที่น่าสนใจในเมืองไทยตอนนี้ Van Gogh. Life and Art นำเสนอผลงานของแวนโก๊ะกว่า 300 ชิ้น ในรูปแบบ Digital Media ความยาว 40 นาที จัดแสดงถึงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ที่ MODA Gallery ชั้น 2 River City Bangkok

เรื่องและภาพ สุธาทิพย์ อุปสุข 

อ้างอิง :


บทความอื่นที่คุณอาจสนใจ

trending trending sports recipe

Share on

Tags