แพงเพราะดี หรือ ดีเพราะแพง รวมเบื้องหลังจิตวิทยา ที่แบรนด์ระดับโลกไม่เคยบอกคุณ

Last updated on พ.ย. 14, 2023

Posted on พ.ย. 9, 2023

ลองสำรวจตัวเราเองสิว่า “ภายในตัวมีสินค้าที่มีแบรนด์ชั้นนำไปกี่ชิ้นแล้ว”

🤔 ทำไมเราถึงต้องซื้อสินค้าที่มีราคาแพงจากแบรนด์ชั้นนำ
แบรนด์ชั้นนำในที่นี้หมายถึง Nike, Adidas, Starbucks, Apple, Zara, Louis Vuitton, Hermes แค่ได้ยินชื่อแบรนด์เท่านั้น เราจะเกิดความมั่นใจ และยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้ ลองมาดูกันดีกว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ เหล่านี้เขามีจิตวิทยาอะไรบ้างจึงทำให้เราอยากซื้อ!

เบื้องหลังจิตวิทยาทำไมเราต้องซื้อสินค้าราคาแพงจากแบรนด์ชั้นนำ

🎯 1. หลายแบรนด์ดังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

มีจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกันมีชื่อว่า The Law of Least Effort หรือกฎแห่งความพยายามน้อยที่สุด คือการที่เราใช้จิตใต้สำนึกเป็นตัวชี้นำว่าต้องทำในสิ่งที่เป็นตัวเราเท่านั้น ต้องทำในสิ่งที่เรารัก โดยแบรนด์ส่วนใหญ่ใช้จุดแข็งตรงนี้ในการให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายที่สุด ไม่ต้องเลือกเยอะ สินค้าเหล่านี้สามารถเข้าไปแก้ปัญหาอะไรบางอย่างให้ลูกค้าได้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าสินค้านั้นเกิดมาเพื่อฉัน

ตัวอย่างเช่น ทำไมเราถึงชอบซื้อ iPhone เหตุเพราะเราเชื่อว่าไอโฟนได้รับความนิยม คนรอบตัวก็ใช้ไอโฟนแถมดีไซน์สวย, ถ่ายรูปสวย และที่สำคัญมีระบบป้องกันข้อมูลรั่วไหลตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้ดีมาก ๆ เราถึงยอมจ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่มีแบรนด์ เหตุเพราะจิตใต้สำนึกของเรายอมรับ และเชื่อมั่นในแบรนด์


🎯 2. แบรนด์รู้ว่าลูกค้าต้องการความรวดเร็ว

จากกฎแห่งความพยายามน้อย (The Law of Least Effort) ยังส่งผลมาถึง ‘การบริการ’ เหตุเพราะในยุคปัจจุบันความเร็วคือเรื่องที่จะทำให้แบรนด์ได้เปรียบ หลายแบรนด์เริ่มมีการทำ One Stop Service, ส่งฟรีส่งเร็วจัดส่งถึงบ้านทันที เพราะรู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลา การให้บริการที่ดีจะทำให้แบรนด์ยืนระยะได้ยาวนานมากขึ้น และลูกค้าก็รักแบรนด์นั้นมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น J.I.B แบรนด์ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี มีบริการจัดส่งไวภายใน 3 ชม. และส่งทั้งวัน 24 ชม. นี่คือตัวอย่างบริการที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ฉันสามารถอยู่บ้านเฉย ๆ ก็รับสินค้าได้รวดเร็ว หรือถ้าสินค้าชำรุดก็สามารถเคลมสินค้าได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมั่นใจในการซื้อสินค้าที่เป็นแบรนด์ชั้นนำ


🎯 3. ลูกค้ามักจะกลัวที่จะสูญเสียอะไรบางอย่าง

Fear of Losing คือความรู้ที่เรากลัวที่จะสูญเสียอะไรบางอย่าง แบรนด์ส่วนใหญ่มักใช้เทคนิคนี้ในการลดราคาพิเศษ! ซึ่งจะเกิดการซื้อเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าเห็นว่าสินค้านั้นกำลังลดราคา หรือเทคนิคการซื้อ1 แถม 1 เช่นกัน แม้สินค้าชนิดนั้นอาจจะไม่ใช่สินค้าจำเป็น

ตัวอย่างเช่น Starbucks มีโปรโมชัน Buy 1 Get 1 Free ปฎิกิริยาของลูกค้าส่วนใหญ่จะมุ่งหวังสิ่งเดียวคือของมันต้องมี! ฉันต้องได้กินแบบคุ้มจุก ๆ แม้สินค้าจะมีราคาที่สูง หรือต่อให้ในเดือนนั้นเราอยากประหยัดเงินแค่ไหน แต่ด้วยความที่กลัวจะสูญเสียจึงไม่มีทางเลือกเลยจำเป็นต้องซื้อ

Kit Yarrow ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมผู้บริโภค และศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัย Golden Gate สรุปไว้ในคำพูดเหล่านี้ว่า "ผู้คนตื่นเต้นกับข้อเสนอมากกว่าสิ่งที่พวกเขากำลังซื้อ" นี่คือ "อาการหลงราคา" และเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์มากกว่าผู้บริโภค


🎯 4. เพราะลูกค้ากลัวจะพลาดซื้อสินค้า!

Fear of Missing Out หรือ FOMO คือการกลัวที่จะพลาดอะไรบางสิ่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแฟชั่น เช่น เสื้อผ้า, รองเท้า, กระเป๋า มักใช้ประโยชน์จากจิตวิทยานี้มากกว่าธุรกิจอื่น ๆ ยิ่งสินค้านั้นมีความต้องการมาก เทคนิค FOMO จะยิ่งทรงพลังมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น Louis Vuitton x Yayoi Kusama ถูกนำมาจัดเป็นป็อปอัพดีไซน์โดดเด่นสะดุดตา บริเวณหน้าร้านหลุยส์ วิตตอง สาขาสยามพารากอน ตั้งแต่วันที่ 6 -31 มกราคม 2023 นี้เท่านั้น เพื่อจำกัดเวลาให้คนไม่อยากพลาด ต้องมาให้ได้ โดยมีผู้ให้ความสนใจมากมาย ทั้งศิลปินดารา และลูกค้าทั่วไป ด้วยเทคนิคนี้หลายแบรนด์สามารถเพิ่มยอดขายได้ และเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าไม่อยากที่จะพลาด กลัวสินค้าจะหมด

สรุป เมื่อมนุษย์เรามีความต้องการไม่สิ้นสุด นี่คือพื้นฐานในการใช้จิตวิทยา คนเราต้องการปัจจัยพื้นฐาน เช่น บริการที่ดี, ความคุ้มค่า, ความสุข, ได้มาตรฐาน เป็นต้น ดังนั้นสินค้าที่เราซื้อจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือส่วนใหญ่จะตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของลูกค้า


หวังว่าเคล็ดลับจิตวิทยาจากการซื้อสินค้าที่มีแบรนด์
จะช่วยสร้างความเข้าใจ และสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของทุกคนน๊า 😊✌️


แปล เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ

ที่มา

trending trending sports recipe

Share on

Tags